สวัสดีค่ะ ทุกๆ คนที่รักน้องแมวทั้งหลาย วันนี้เรามาพูดถึงปัญหาที่หลายๆ คนคุ้นเคยและอาจเคยเจอกับตัวเองมาบ้างแล้ว นั่นก็คือ “แมวร้องไม่หยุด” ซึ่งไม่ว่าจะเป็น แมวร้องไม่หยุด ตัวเมีย หรือ แมวร้องไม่หยุด ตัวผู้ ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความปวดหัวและทดสอบความอดทนให้กับเจ้าของได้อย่างถึงขีดสุดเลยทีเดียว บางครั้ง แมวร้องไม่หยุด เดินตาม เจ้าของไปทุกที่ไม่ว่าจะห้องไหนในบ้านราวกับเป็นเงาตามตัว จนอาจทำให้เจ้าของรู้สึกหงุดหงิด ร้อนใจ และเครียดจนแทบทนไม่ไหว

แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งท้อใจแล้วโมโหใส่เจ้าเหมียวไปนะคะ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจและหาทางออกให้กับปัญหานี้ด้วยกัน โดยจะมาแจกแจงถึง 5 สาเหตุที่ทำให้แมวร้องไม่หยุด และแนะนำวิธีรับมือกับแต่ละสาเหตุอย่างเหมาะสมแบบเข้าใจง่ายไม่ยุ่งยากเลยล่ะค่ะ เพื่อช่วยให้ทั้งคุณและน้องแมวมีความสุขและเข้าใจกันมากขึ้นนั่นเอง เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
1. แมวต้องการความรักและเอาใจใส่จากเจ้าของ
เรื่องนี้เข้าใจง่ายเลยนะคะ เพราะบางทีเราอาจจะยุ่งและเหนื่อยจากการทำงานหรือภารกิจต่างๆ ในแต่ละวันมากจนแทบไม่มีเวลาให้กับน้องแมว ในมุมของน้องแมว พวกเค้าอาจรู้สึกเหงาและว้าเหว่ จึงพยายามเรียกร้องความสนใจจากเราด้วยการร้องไม่หยุด หรือพยายามตามเราไปทุกที่ราวกับกลัวว่าเราจะหายไปไหน ลองนึกภาพดูนะคะ ถ้าเรารู้สึกเหงาเพราะคนรักไม่สนใจ เราก็จะพยายามดึงดูดความสนใจเค้าด้วยวิธีต่างๆ พยายามให้เค้าเห็นคุณค่าของเรา แมวก็เช่นกันค่ะ
วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด คือการหาเวลาอยู่กับน้องแมวให้มากขึ้นค่ะ จัดสรรเวลาในแต่ละวันสัก 15-30 นาที เพื่อเล่นกับน้องแมวอย่างเต็มที่ ด้วยของเล่นโปรดที่พวกเค้าชอบ เช่น ของเล่นแบบเชือกกระดิ่ง ลูกบอลหรือลูกปิงปอง หนูเทียมให้ไล่จับ เพียงแค่โยนให้เค้าวิ่งไล่จับ หรือแกล้งซ่อนแล้วให้เค้าตามหา ก็สร้างความสนุกได้เป็นชั่วโมงแล้วล่ะค่ะ นอกจากนี้ การลูบไล้ขนให้น้องแมว กอดเค้าเบาๆ อุ้มนั่งตัก หรือนอนข้างๆ กัน ก็ช่วยเพิ่มความใกล้ชิดผูกพันกันได้ดีเลยนะคะ ลองนึกดูสิคะ ถ้าคนที่เรารักมาโอบกอดเรา ลูบหัวเบาๆ ให้กำลังใจเวลาเหนื่อยแค่ไหน เราก็จะรู้สึกเป็นสุขและรักเค้ามากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ แมวก็รู้สึกแบบเดียวกันแน่นอนค่ะ
สิ่งสำคัญคือการสื่อสารและแสดงความรักอย่างสม่ำเสมอนั่นเองค่ะ พูดคุยกับน้องแมวบ่อยๆ เรียกชื่อเค้าด้วยเสียงนุ่มนวล ชมว่าเค้าเป็นเด็กดี แมวฉลาด ทำให้เค้ารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และไม่ได้รู้สึกถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง รับรองว่าแค่เท่านี้ปัญหาแมวร้องเพราะขาดความสนใจก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไปเองแน่นอนค่ะ
2. แมวหิวหรือกระหายน้ำ จนต้องร้องบอก
ปัญหานี้บางครั้งเราก็มองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะวันๆ เราต้องทำงานแข่งกับเวลา พอกลับบ้านมาก็เหนื่อยจนลืมเติมน้ำหรืออาหารให้น้องแมว จนน้องต้องมาร้องเตือนถึงได้นึกขึ้นได้ หรือบางทีเราก็คิดว่าเติมไปเมื่อเช้านี้แล้วน่าจะพอ แต่ความจริงแมวกินหมดไปแล้วตั้งแต่บ่ายๆ ยิ่งในช่วงหน้าร้อน แมวต้องการน้ำมากขึ้น หรือแม้แต่มีโรคบางอย่างที่กระตุ้นให้แมวหิวหรือกระหายน้ำมากผิดปกติ ก็อาจทำให้แมวร้องเพื่อเรียกร้องอาหารและน้ำบ่อยขึ้นได้นะคะ
ดังนั้น การแก้ปัญหานี้ก็ไม่ยากค่ะ แค่เพิ่มความใส่ใจอีกนิด ด้วยการจัดเตรียมชามอาหารและน้ำให้เต็มและสะอาดอยู่เสมอ อาจจะแบ่งให้วันละ 2-3 มื้อ เช่น เช้า กลางวัน เย็น หรือเช้ากับเย็น ขึ้นอยู่กับความเคยชินของแมวแต่ละตัวด้วย แต่ควรกำหนดเวลาให้แน่นอนสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างกิจวัตรที่ดีให้กับแมวได้ เมื่อพวกเค้ารู้ว่าเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว ก็จะลดพฤติกรรมการร้องเรียกอาหารลงไปได้มากเลยล่ะค่ะ
อีกเรื่องที่สำคัญคือการเลือกอาหารที่มีคุณภาพและถูกหลักโภชนาการให้เหมาะกับวัยและสายพันธุ์ของแมวด้วยนะคะ สังเกตว่าแมวชอบและกินได้ดีแบบไหน เปียกหรือแห้ง เม็ดเล็กหรือใหญ่ มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่น เพราะแมวแต่ละตัวมีความชอบไม่เหมือนกัน อาจต้องลองเปลี่ยนยี่ห้อดูบ้างจนกว่าจะเจอที่ถูกใจเจ้าเหมียว แต่ก็อย่าหลงเชื่อโฆษณาจนเกินไปนะคะ ไม่ใช่ราคาแพงที่สุดจะเป็นอาหารคุณภาพดีเสมอไป ดังนั้น ควรอ่านส่วนผสมให้ดีและเลือกอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้นๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือเนื้อวัว เพราะให้คุณค่าที่เหมาะกับร่างกายแมวมากที่สุด ไม่ควรให้แป้งหรือธัญพืชมากเกินไป แล้วน้องแมวก็จะสุขภาพดีเปรี้ยวปร๊าดแข็งแรงอย่างที่เราอยากเห็นแน่นอนค่ะ
3. แมวเครียดจากความเปลี่ยนแปลงไม่คุ้นเคย
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่หลายคนอาจไม่ทันได้คิดนะคะ เพราะแมวเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่ในที่คุ้นเคยและมีกิจวัตรที่แน่นอน เช่น มีที่นอนเป็นของตัวเอง มีจุดเล่นประจำ หรือแม้แต่มีกระบะทรายที่ถูกใจ เค้าก็จะสบายใจและไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
แต่ลองคิดดูสิคะ ถ้าวันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นมา เช่น บ้านเราย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เฟอร์นิเจอร์ถูกจัดวางต่างไปจากเดิม เราหรือคนในบ้านไม่ได้อยู่ด้วยในเวลาที่เคยอยู่ประจำ หรือที่บ้านมีสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทารกน้อยหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น แม้กระทั่งมีแขกมาเยี่ยมบ้านเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความกังวลใจและเครียดให้กับน้องแมวได้มาก แมวบางตัวออกอาการเครียดด้วยการหลบซ่อน บ้างก็หงุดหงิดก้าวร้าว ส่วนบางตัวก็ร้องไม่หยุด เหมือนกำลังถามหาความช่วยเหลือและคำอธิบาย
การแก้ไขเบื้องต้น คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แมว ทั้งพื้นที่ส่วนตัวที่เป็นมุมสงบให้หลบเข้าไปพักใจเวลาเครียด เช่น เปล กล่องกระดาษ หรือที
่นอนนุ่มๆ รวมถึงพื้นที่แสดงออกที่ให้แมวได้ปืนป่าย วิ่งเล่น ข่วนเล็บ ระบายความอยากอย่างที่แมวชอบทำ เช่น คอนโดแมว ต้นไม้ปลอม หรือที่ลับเล็บ และอย่าลืมหาของเล่นใหม่ๆ มาเปลี่ยนให้เค้าเล่นเป็นระยะด้วยนะคะ เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้ดีเลยล่ะ
ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆ ปรับทีละนิดก็ได้ค่ะ ถ้าจะย้ายบ้านก็พยายามจัดมุมใหม่ให้คล้ายมุมเดิมของแมวสักหน่อย เอาของเล่นและของใช้คุ้นเคยใส่ไว้บ้างเพื่อให้เค้ารู้สึกคุ้นเคย เวลามีคนแปลกหน้ามาบ้านก็ค่อยๆ แนะนำให้รู้จัก อย่ารีบร้อนจนแมวตกใจ แล้วก็ใช้เวลากับแมวให้มากขึ้นช่วงที่เค้ากำลังปรับตัว จะช่วยให้เค้ารู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยมากขึ้นแน่นอนค่ะ
4. แมวอาจเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ
อันนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวังให้ดีเลยนะคะ เพราะแมวเป็นสัตว์ที่ฉลาดและเก็บอาการเจ็บป่วยเอาไว้ได้นาน บางทีไม่แสดงอาการชัดเจนจนกว่าอาการจะหนักแล้ว การร้องบ่อยผิดปกติอาจเป็นสัญญาณบอกเหตุว่ามีบางอย่างผิดปกติในร่างกายแมว แต่เราอาจสังเกตไม่ค่อยออก
ลองดูตัวอย่างเช่น ถ้าแมวร้องโหยหวนเสียงดังแปลกๆ อาจเป็นอาการปวดท้องไส้เลื่อนหรือกรวยไตอักเสบ แมวที่ร้องเวลาถูกสัมผัส อาจมีแผลถลอกหรือกระดูกหัก หรือแมวที่ร้องครางเบาๆ เหมือนปวดตามข้อ ก็อาจมีอาการข้ออักเสบรูมาตอยด์ก็ได้นะคะ ดังนั้นเราต้องสังเกตให้ดีว่ามีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยไหม เช่น ซึม ไม่ยอมกินอาหาร หรือไม่ยอมลุกเดิน ร่วมกับการร้องผิดปกติ
หากเห็นอาการผิดปกติใดๆ ให้รีบปรึกษาสัตวแพทย์ที่ไว้ใจได้เลยนะคะ อย่าปล่อยไว้หรือซื้อยากินเองเด็ดขาด เพราะอาจจะไปซ้ำเติมอาการให้แย่ลงโดยไม่ตั้งใจก็ได้ ให้หมอได้ตรวจร่างกายและซักประวัติอย่างละเอียดจะปลอดภัยกว่ามากค่ะ พาน้องแมวไปตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำก็จะช่วยให้เรารู้ทันโรค และรักษาได้ทันท่วงที แมวเราก็จะแข็งแรงร่าเริงไปด้วยกันยาวๆ นะคะ
5. แมวตัวเมียเข้าสู่ช่วงฮีทหรือผสมพันธุ์
ปัญหานี้เป็นเรื่องธรรมชาติของแมวเพศเมียโดยเฉพาะค่ะ โดยแมวเมียที่ยังไม่ได้ทำหมัน เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะมีช่วงเป็นสัด (ฮีท) เป็นระยะ มักเกิดขึ้นปีละ 2-3 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 4-10 วัน ในช่วงนี้ฮอร์โมนในร่างกายแมวจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้พฤติกรรมแมวเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น ร้องเหมียวดังมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาจจะเป็นเสียงครางยาวๆ หรือร้องเหมือนลูกแมวร้องไห้ จะอ่อยโชว์ท่าทางเชิญชวนตัวผู้ เช่น คลอเคลียตัวกับพื้นหรือข้าวของ ยกก้นชี้ขึ้นฟ้า บางตัวอารมณ์แปรปรวน ดุร้ายผิดปกติ หรือเร่ร่อนพยายามหนีออกจากบ้านเพื่อไปหาตัวผู้ข้างนอก จนเจ้าของต้องคอยระวังตลอดเวลา
วิธีการรับมือที่เด็ดขาดที่สุด คงหนีไม่พ้นการพาน้องไปทำหมันนั่นเองค่ะ ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่แมวอายุ 4 เดือนขึ้นไปเลย ยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมในแมวเมียได้มากขึ้นเท่านั้น ส่วนใครที่ยังไม่พร้อมทำหมันให้แมวสาว ก็ต้องเตรียมใจไว้เลยค่ะว่าจะต้องอดทนและใจเย็นมากขึ้น ระยะนี้ต้องเฝ้าระวังไม่ให้น้องหนีไปผสมพันธุ์ข้างนอกจนท้องไม่มีพ่อ ให้คอยอยู่ด้วยให้กำลังใจ เบี่ยงเบนความสนใจด้วยของเล่นหรืออาหาร กางมุ้งหรือตาข่ายตรงประตูหน้าต่าง จนกว่าอาการจะทุเลาลง ถ้าแมวมีอาการดุร้ายหรือทำร้ายตัวเอง อาจต้องปรึกษาหมอเพื่อให้ยาคุมกำเนิดแก้ขัดไปพลางก่อนก็ได้นะคะ
สรุปแล้วการเลี้ยงแมวให้มีความสุขและไม่ส่งเสียงรบกวนนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจธรรมชาติของแมว เปิดใจรับฟังสิ่งที่เค้าต้องการสื่อผ่านการร้องและพฤติกรรมต่างๆ พยายามหาสาเหตุและแก้ไขอย่างใจเย็นและเป็นระบบ แมวแต่ละตัวมีความต้องการไม่เหมือนกัน บางอย่างต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งกว่าจะเข้าใจกัน แต่เชื่อเถอะค่ะว่าความพยายามของเราจะไม่สูญเปล่า
เพราะยิ่งเข้าใจน้องแมวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกผูกพันและรักเค้ามากขึ้นเท่านั้น ความรักที่มอบให้กันและกัน จะยิ่งเพิ่มพูนความอบอุ่นให้กับครอบครัวของเรา บ้านจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเรื่องราวดีๆ มากมาย เหมือนอย่างที่ใครหลายคนเคยกล่าวไว้ว่า “บ้านที่มีแมว คือบ้านที่เต็มไปด้วยรัก” ขอให้เราและน้องแมวจงเป็นสุข มีช่วงเวลาดีๆ และเติบโตไปด้วยกันนะคะ